Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่นิยมนำมาใช้ในปัจจุบันและอนาคต ถูกคิดค้นขึ้นมาจากกลุ่มนักวิจัยในปี 1991 โดนมีจุดประสงค์ในการทำ เทคโนโลยีที่ไม่สามารถคัดลองข้อมูลได้ ลองนึกภาพตามนี้ หากเราทำการอัปโหลดรูปภาพขึ้นยนอินเทอร์เน็ต ภายหลังได้มีการดัดแปลงไปเป็นจำนวนมาก จนบางครั้งเราไม่สามารถตามหาแหล่งต้นกำเนิดของภาพได้ บล็อกเชนสามารถทำให้ภาพของเรามีที่มาที่ไปมาจากไหน ทุกอย่างจะถูกบันทึกไว้

อย่างเช่น ระบบเงิน หากเราสามารถทำซ้ำดัดแปลงได้ มันจะทำให้เงินเสียมูลค่าในที่สุด ธนาคารจะเป็นคนที่ควบคุมจำนวนเงินไม่ให้มีการพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม การใช้ตัวกลางในการทำธุรกรรมถือเป็นการรวมศูนย์อำนาจ ซึ่งมันยังมีช่องโหว่ อาจทำให้เงินหาย มีความล่าช้าในการดำเนินการ การตัดสินใจและอนุมัติที่ต้องรอให้มาที่ศูนย์กลางก่อนทำให้ต้องรอเวลานานมาก
นอกจากนี้ตัวกลางยังต้องมีความน่าเชื่อใจอีกด้วย ปัญหาทั้งหมดนี้สามารถทำให้เราเห็นความต่างของ Blockchain ซึ่งมีหลักการทำงานคร่าว ๆ คือ แบ่งด้วยบล็อกมีหน้าที่เก็บข้อมูลและเข้ารหัส เชนสามารถเชื่อมแต่ละบล็อก ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเชื่อมต่อกันไปเรื่อย ๆ เช่น การเก็บข้อมูลการโอนเงิน หากต้องการโอนเงินจาก A ไป B ก็จะถูกบันทึกข้อมูล
ส่งสำเนาไปยังคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่อยู่ในระบบ ระบบแบบนี้แฮคยากมาก เนื่องจากมันจะมีกลไกในการตัดเชน ทำให้ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ และตัวบล็อคเชนก็ไม่ได้เสียไปเลย เนื่องจากสำเนามันยังถูกบันทึกไว้อยู่ ข้อมูลในระบบนี้จะไม่มีใครสามารถแก้ไขได้ นอกจากนี้ยังนำไปใช้ในการเก็บประวัติคนไข้ที่เชื่อมโยงกันไว้ทั้งหมด ไม่มีการแก้ไข มีการกระจายไปยังทุกโรงพยาบาล การรักษาของแพทย์จะตรงจุดมากขึ้น เมื่อคนไข้ต้องทำการเปลี่ยนโรงพยาบาล

ระบบนี้สามารถทำให้หมอทราบยาที่เราแพ้ โรคประจำตัว หรือแม้กระทั่งการเกษตรสามารถนำไปใช้ได้ เช่น การทำบาร์โคดขึ้นมาแสดงข้อมูลว่าผักมีการใช้สารเคมีไหม มีหน่วยงานอะไรรับรองหรือไม่ ไปจนถึงการตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินที่ใช้ในหน่วยงานราชการได้ทั้งหมด
ต้องการที่จะติดตามข่าวสารเทคโนโลยี คลิกได้ที่นี้ เพื่อไม่พลาดรายการต่างๆของทางเรา